เจอร์เก้น คล็อปป์ ใช้เวลาประมาณ 3 ปีกว่าๆ เพื่อปรับเปลี่ยน ลิเวอร์พูล จากทีมที่ห่างเหินและโหยหาความสำเร็จให้กลายร่างเป็น "เครื่องจักรสีแดงผู้อหังการ"
ย้อนกลับไปในฤดูกาลแรกที่คุณพี่เขาเข้ามารับช่วงต่อจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เมื่อเดือนตุลาคม 2015
ฤดูกาลนั้น (2015-16) ผลงานของ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีกยังไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่ พลพรรคหงส์แดงจบซีซั่นด้วยอันดับ 8 ของตาราง โดยสะสมได้แค่ 60 แต้มเท่านั้น
สิ่งที่น่าสนใจคือพวกเขาสามารถผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยได้ถึง 2 รายการ
ลิเวอร์พูล แพ้ แมนฯ ซิตี้ จากการดวลจุดโทษตัดสินในนัดชิงชนะเลิศ มิคกี้เม้าส์ คัพ ก่อนจะพลาดท่าปราชัย เซบีย่า ในนัดชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก อย่างน่าเสียดาย
ส่วนอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบการเล่นที่กุนซือชาวเยอรมันติดตั้งให้ลูกทีมนี่แหละ
เพราะมันเป็นปรัชญาการเล่นที่ชัดเจน แถมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่ากลัวพอสมควร
นั่นคือวิธีการเล่นแบบ "เพรสซิ่ง" ที่รุมกดดันคู่แข่งในแดนกลางพลางบีบสูงถึงหน้าประตูคู่แข่ง เมื่อแย่งบอลได้ก็จะจู่โจมเข้าใส่ด้วยความรวดเร็วและหนักแน่นทันทีเหมือนแนวเพลงที่กุนซือกะโปกเหล็ก เอ๊ย! กะโหลกเหล็กของพวกเขาชื่นชอบ - เฮฟวี่ เมทั่ล
หลังการศึกที่บาเซิ่ล อดีตกุนซือปีศาจแดงอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หล่นทัศนะถึงความพ่ายแพ้ของหงส์แดงเอาไว้อย่างน่าสนใจว่าไม่มีทีมใดในโลกนี้ที่จะ "เพรสซิ่ง" ไปได้ตลอดฤดูกาล เนื่องเพราะมันต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาลมากเกินไป
ฤดูกาลต่อมา (2016-17) คือฤดูกาลแรกที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้คุมทีมแบบเต็มตัว
ก่อนเปิดฤดูกาล พี่แกกระชากนักเตะใหม่อย่าง มาร์โค กรูยิช, ซาดิโอ มาเน่, โฌแอล มาติป, ลอลิส คาริอุส, รักนาร์ คลาวาน และ จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม เข้ามาเสริมทัพ ด้วยค่าตัวรวมกันประมาณ 73 ล้านปอนด์
อาการของ ลิเวอร์พูล กระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จาก 60 แต้มในฤดูกาลก่อน ลิเวอร์พูล จากการทำงานแบบฟูลไทม์ของมิสเตอร์เจเคพุ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 4 โดยสะสมได้ 76 แต้ม
ลิเวอร์พูล สะสมคะแนนในพรีเมียร์ลีกมากกว่าเดิมถึง 16 แต้ม อันดับก็ดีขึ้นแบบเขย่งก้าวกระโดด โดยดีดตัวขึ้นจากอันดับที่ 8 มาอยู่ในอันดับที่ 4 ของตารางจนได้กลับไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง
ฤดูกาล 2017-18 เจอร์เก้น คล็อปป์ ไปกระชาก โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ มาร่วมทีมในราคาเพียงแค่ 34 ล้านปอนด์ แล้วก็ได้ความมหัศจรรย์ของดาวเตะสายพันธุ์มัมมี่ผู้นี้แหละช่วยกระทุ้งตาข่ายแหลกลาญถึง 32 ประตูในพรีเมียร์ลีก
ถึงจะจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ของตารางอีกครั้ง โดยสะสมได้ 75 แต้ม แต่การทะลุเข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จอย่างอุกอาจ มันบ่งถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
สัญญญาณอะไรบางอย่างที่บอกว่า "เร้ด แมชชีน" กำลังจะกลับชาติมาเกิดใหม่ในไม่ช้า !!!
แม้นจะเสียหลักพุ่งชนความปราชัยในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ในความเจ็บปวดและผิดหวัง เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ได้รับบทเรียนอันล้ำค่า เพราะความพ่ายแพ้ในการศึกครั้งนั้นที่ ยูเครน ช่วยให้ผู้เป็นกุนซือมองเห็น "จุดอ่อน" ของทีมตัวเองอย่างคมชัดในระบบฟูลเอชดีเลยทีเดียว
นั่นคือ...เกมรับ
กองหลังของหงส์แดงแสดงความผิดพลาดจนเป็นเหตุให้เสียประตูง่ายๆ บ่อยครั้ง เฉพาะอย่างยิ่งผู้รักษาประตูอย่าง ลอลิส คาริอุส ที่ไม่เพียงแต่จะตรงเป็นตุง บางอารมณ์พี่แกยังแสดงจิตใจที่โอบอ้อมอารีด้วยการประเคนประตูให้คู่แข่งแบบไม่มีเหตุผล และไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น
บางที เจอร์เก้น คล็อปป์ อาจนึกถึงคำพูดของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มหากุนซือที่พี่แกเคารพและนับถือเป็นการส่วนตัวอันเป็นสัจธรรมที่เรียบง่ายแบบนิกายเซน
'มีปัญหาตรงจุดไหนก็แก้ตรงจุดนั้น'
ว่าแล้วพี่แกก็นำเงินก้อนใหญ่ที่ได้จากการขาย ฟิลิเป้ คูตินโญ่ มาบูรณะเกมรับด้วยผู้เล่นใหม่ 2 ตำแหน่งอย่างที่ทราบกันดีนั่นแหละ
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ อลิสซง เบ็คเกอร์
เกมรุกของ ลิเวอร์พูล มีความดุดันอย่างน่าสยดสยองอยู่แล้วใช่ไหมครับ ต่อเมื่อได้ความเหนียวแน่นและแข็งแกร่งในเกมรับเข้ามา มันจึงมีค่าเท่ากับความสมบูรณ์แบบตามที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยกล่าวเอาไว้ว่า "เกมรุกจะช่วยให้คุณชนะ แต่เกมรับจะช่วยให้คุณเป็นแชมป์"
วิธีการเล่นแบบ "เฮฟวี่ เมทั่ล ฟุตบอล" ที่เคยถูกบรมกุนซืออย่างคุณป๋าตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก็ได้รับการปรุงแต่งให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเพรสซิ่งให้สิ้นเปลืองพลังงานแบบใช่เหตุ
2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล สร้างมาตรฐานใหม่ในพรีเมียร์ลีก ด้วยการสะสมได้รวมกันถึง 196 แต้มพลางคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่แห่งยุโรป และแชมป์ลีกสูงสุดที่รอคอยมานาน 30 ปี
ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของอาณาจักรหงส์แดงผู้อหังการจากการสร้างของ เจอร์เก้น คล็อปป์ คือ "ตัวอย่าง" ให้กุนซือระดับฝึกหัดอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา นำไปเป็นกรณีศึกษาได้เลยนะครับ-ขอบอก
ครับ - เมื่อก่อน แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่จำเป็นต้องตามตูดใคร และไม่จำเป็นต้องเลียนแบบคู่แค้นตลอดชาติ เดี๋ยวนี้มันกลับกันซะอย่างนั้น
ฤดูกาลแรกที่ "น้าโอเล่" คุมทีมแบบเต็มๆ ฤดูกาล - แมนฯ ยูไนเต็ด สะสมได้ 66 แต้ม
เมื่อเทียบกับ 76 แต้มในฤดูกาลแรกแบบเต็มตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มันมองเห็นถึงมาตรฐานที่แตกต่างกัน ทั้งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด วอดวายไปกับการซื้อตัวผู้เล่นใหม่มากกว่าเยอะ (197 ล้านปอนด์ กับ 73 ล้านปอนด์)
กว่าจะจับทางได้ กว่าจะค้นพบรูปแบบการเล่น และ 11 ตัวจริงที่เหมาะสมและลงตัว เหมือนจะเชื่องช้าเกินไปหน่อย
ย้อนกลับไปในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังลองผิดลองถูกอยู่เลยนะครับ
ปรัชญาการเล่นก็ไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่ คือจะเน้นผลการแข่งขัน หรือจะบุกแหลกแล้วแหกค่ายก็มองไม่ออก
เท่าที่ผู้ชมทางบ้านอย่างผมมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าคือ แมนฯ ยูไนเต็ด พยายามต่อบอลกันไปต่อบอลกันมา - จะรุกก็ไม่เต็มสูบ แถมไม่มีไอเดียและไม่มีความหลากหลาย กระทั่งการมาของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส นั่นแหละถึงมองเห็นรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ยังดีที่ไม่สายจนเกินไปนัก เพราะสุดท้ายสามารถเข้าป้ายเป็นอันดับ 3 ได้สำเร็จ
ตัวอย่างที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ แสดงออกมาให้เห็นเหมือนเป็น "ต้นแบบ" นั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ
1. คือการซื้อตัวผู้เล่นที่ต้องบอกว่า "มองขาด" มาร์คมาก เฉพาะอย่างยิ่ง ซาดิโอ มาเน่, โม ซาล่าห์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และอลิสซง เบ็คเกอร์ อันเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
2. รูปแบบและปรัชญาการเล่นที่ต้องกำหนดออกมาให้ชัดเจนแล้วยึดมั่นกับถือมั่นบนความหนักแน่น
3. การแก้ปัญหาที่ตรงจุด - พูดง่ายๆ ว่าเกาให้ถูกที่คันนั่นแหละ
นี่คือกุญแจสำคัญ 3 ประการสู่ความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล จากการทำงานของ เจอร์เก้น คล็อปป์
ฤดูกาลที่เพิ่งผ่านพ้น ผู้เล่นใหม่ที่ขายวิญญาณให้ปีศาจแดงในยุคของกุนซือไวกิ้งถือว่า "สอบผ่าน" มากกว่า "สอบตก" นะครับ อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่ามากกว่าตอนที่ หลุยส์ ฟาน กัล กับ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นผู้จัดการทีม
รูปแบบและปรัชญาการเล่นก็มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลนี่แหละ แม้จะไม่ดุดันและหนักแน่นเหมือน ลิเวอร์พูล อย่างน้อยก็เป็นรูปเป็นทรงมากกว่าเดิม
ส่วนปัญหาของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยปัจจุบัน มันก็ยังอยู่ที่เกมรับนั่นแหละ พวกเขาอาจเสียประตูน้อยลงก็จริง ทว่าประตูที่ถูกคู่แข่งแย่งไปส่วนใหญ่เกิดจากความผิดพลาดของตัวเองทั้งนั้น
ขนาดของทีมก็ยังไม่ยาวและใหญ่เพียงพอ คุณภาพระหว่างตัวจริงกับตัวสำรองยังมีความเหลื่อมล้ำ
สารภาพตามตรงว่าผมยังไม่ค่อยเชื่อมือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สักเท่าไหร่ ขณะเดียวกับที่เข้าใจว่าของแบบนี้มันต้องใช้เวลาในการก่อร่างสร้างตัวอย่างใจเย็น - ฤดูกาลนี้ถือว่าน้าลูกอมสอบผ่านอย่างฉิวเฉียด และสมควรได้ไปต่อ
ทันใดก็ให้นึกถึงตอนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าตำแหน่ง "รองแชมป์" พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2017-18 แล้ว โชเซ่ มูรินโญ่ ทำเรื่องขอดาวเตะใหม่ เพื่อมาต่อยอด ทว่ากลับไม่ได้รับการตอบสนองจากเบื้องบนที่คงไม่ค่อยรู้เรื่องเกมลูกหนังสักเท่าไหร่
หวังว่าฤดูกาลต่อไปจะไม่เป็นเช่นนั้นอีก
บอ.บู๋
"มองเห็นได้" - Google News
July 31, 2020 at 09:57AM
https://ift.tt/30Z3NTM
กุญแจสำคัญ 3 ประการ - สยามกีฬา
"มองเห็นได้" - Google News
https://ift.tt/2KEOqs2
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/2A5APrD
Bagikan Berita Ini
0 Response to "กุญแจสำคัญ 3 ประการ - สยามกีฬา"
Post a Comment