ราคาหุ้น AOT วันนี้ร่วงทันทีหลังจากประกาศขยายเวลาช่วยเหลือผู้ประกอบการ-สายการบิน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จากเดิมที่จะสิ้นสุดปีนี้ ไปเป็นต้นปี 65 แน่นอนว่าดูไม่เข้าท่าเพราะบริษัทจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอีกมหาศาล แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ยังมีวิธีอื่นอีกเหรอ?
*** AOT เจอกระหน่ำขายทันทีตั้งแต่เปิดตลาด
วันนี้ราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ร่วงหนักตั้งแต่เปิดตลาด และลงไปทำจุดต่ำสุดของช่วงเช้าไปที่ 56 บาท ถอยกลับไปทำนิวโลว์รอบเกือบ 1 เดือนอีกครั้ง และปิดตลาดรอบเช้าไปที่ 56.25 บาท ลดลง 2.75 บาท หรือ -4.66% ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้น 123.92% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 วันก่อนหน้า
ราคาหุ้นร่วงลงทันทีหลังจากที่ AOT ประกาศว่าจะขยายเวลามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ-สายการบินที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยจะยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการ การใช้บริการในอาคาร และค่าผลประโยชน์ตอบแทนคงที่รายเดือน
ส่วนผู้ประกอบการและสายการบินที่ยังคงประกอบกิจการ โดยปรับลดค่าเช่าพื้นที่หรือเรียกเก็บค่าใช้บริการอาคารโดยปรับลดค่าเช่าในอัตรา 50% และขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือสายการบินในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย ว่าด้วยการเดินอากาศ
โดยมาตรการทั้งหมดจะขยายเวลาจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.63 เป็นสิ้นสุด 31 มี.ค. 65
*** เสียหายแน่ แต่ก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้?
AOT ระบุต่อว่า มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและสายการบินเพิ่มเติมดังกล่าวคาดว่าจะทำให้บริษัท มีรายได้ในปีงบประมาณ 64 ลดลงอีก -0.143% จากเดิมที่คาดว่าจะลดลง -42.21% จากปี 63(YoY)
และปีงบประมาณ 65 จะมีรายได้ลดลงจากการช่วยเหลือครั้งนี้อีก -0.01% จากประมาณการเดิมที่ตั้งไว้ว่ารายได้จะเติบโต +188.13% YoY
ดูไม่เข้าท่า ... แต่มีวิธีที่ดีกว่านี้หรือ? ต้องบอกก่อนหากนักลงทุนยังสนใจลงทุนในหุ้นท่าอากาศยานนี่คือสิ่งที่นักลงทุนต้องเจอ เพราะสายการบิน และผู้ประกอบการในสนามบินเป็นคู่ค้าที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจนี้ ซึ่งนักลงทุนก็ได้เห็นแล้วว่า แม้ AOT จะให้ความช่วยเหลือผ่านมาตรการต่างๆอย่างเต็มที่ แต่สายการบินทั้ง THAI -NOK- AAV ต่างก็เจ็บหนักจนแทบไม่มีทางฟื้นกันทั้งนั้น ส่วน KINGPOWER ก็มีช่องทางจำหน่ายผ่านเว็บไซด์และสาขาภายนอกสนามบินคอยช่วยอยู่บ้างแต่ก็เจ็บหนักไม่แพ้กัน
ดังนั้นมาตรการช่วยเหลือจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก การที่ AOT ปล่อยให้ธุรกิจของคู่ค้าล้มหายตายจากไปนั้น หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง AOT จะกลายเป็นได้เพียงหุ้นลานจอดเครื่องบินเท่านั้น และ AOT จะไม่มีสายการบินใดมาสร้างรายได้ให้อีกต่อไป
*** ถ้ารับมาตรการนี้ได้ จะต้องเจอกับอะไรอีก ?
ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติยังวิกฤต เพราะโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวยังล่าช้า โดยเฉพาะ Travel Bubble ที่ยังไม่มีความคืบหน้า โดยที่บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ ระบุว่า จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย(BOT) เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ได้ปรับลดตัวเลขนักท่องเที่ยวปี 63 – 64 ลงจากเดิม 8 ล้านราย เป็น 6.7 ล้านราย และ 16.2 ล้านราย เป็น 9 ล้านราย ตามลำดับ
แต่ประเด็นนี้เป็นไปตามคาดเพราะ BOT มีการประมาณการที่ค่อนข้างสูงเกินไป แต่อย่างไรก็ตามการปรับประมาณการลงเป็นความเสี่ยงเชิงลบต่อประมาณการของเราที่ 8.3 ล้านราย และมีดาวน์ไซด์ราว 3 ล้านรายสำหรับปี 64 ในขณะที่ทาง AOT ยังไม่มีแผนในการปรับประมาณการ
หากเราปรับนักท่องเที่ยวปี 64 - 65 ลง 3 ล้านรายตามประมาณการของ BOT จะทำให้ผลประกอบการลดลงราวปีละ 2.7 พันล้านบาท หรือผลประกอบการปี 64 (สิ้นสุดก.ย.64) พลิกขาดทุน และปี 65 มีกำไรลดลงมาเป็น 2.14 หมื่นล้านบาท
โดยปริมาณนักท่องเที่ยวจะขึ้นอยู่กับช่วงไตรมาส 2/64และไตรมาส 3/64 เป็นหลัก ซึ่งมีโอกาสที่จะอ่อนแอกว่าคาดจากโครงการ Travel Bubble ที่ล่าช้า แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบต่อมูลค่าที่เหมาะสมต่ำกว่า 1 บาท/หุ้น
*** นักท่องเที่ยวจีนรอคิวเข้าไทย ถ้าฟื้นจริงโตยาวปี 65-68
บล.กรุงศรี ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าในปี 65 จะถึงระดับ 40 ล้านราย จาก 13.7 ล้านรายในปี 64 นำโดยการฟื้นตัวของตลาดบินระยะสั้น เช่น จีน เราเห็นจีนเป็นประเทศแรกที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งน่าจะส่งผลให้ความต้องการการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับมี Pent-up demand
เหตุผลสนับสนุนแนวคิดนี้ หลักสามประการคือ
1) เที่ยวบินภายในประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่าระดับก่อนโควิด-10 ที่ราว 6-10% ในเดือน ส.ค.
2) อัตราการเข้าพักโรงแรมของจีนยังมากกว่าโรงแรมทั่วโลก โดยแตะระดับเกือบ 70% ในส.ค.เทียบกับ 40% ของโรงแรมทั่วโลก
3) ยอดขายสินค้าปลอดภาษีใน Hainan เพิ่มขึ้น 100% yoy ในเดือนก.ค. - ส.ค. ซึ่งบ่งชี้ความต้องการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว รายได้ที่มั่นคงและผู้บริโภคมั่นใจของผู้บริโภคชาวจีน
หากการฟื้นตัวเป็นเช่นนี้จริง เราคาดว่าผลการดำเนินงานปี 64 จะขาดทุนเนื่องจากความล่าช้าในการเปิดประเทศ (จาก ก.ย.-63 ไปเป็น มี.ค.-64) แต่หลังจากนั้นเราคาดว่า AOT จะสามารถสร้างการเติบโตของกำไรปกติ 22% ต่อปี CAGR ในช่วงปี 65 - 68 จากการฟื้นตัวของความต้องการการท่องเที่ยวนำโดยนักท่องเที่ยวจีนในยุคหลังโควิด-19
*** นักวิเคราะห์ แนะ"ซื้อ-ถือ-ขาย"ประปราย แต่อัพไซด์จำกัด
จากการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์พบว่าแม้แต่ละรายจะมองไปทิศทางเดียวกันคือปี 64 ผลประกอบการจะออกมาขาดทุน และต้องรอฟื้นตัวอีกครั้งในปี 65 แต่กลับให้คำแนะนำที่ประปรายกันทั้งซื้อ ถือ และ ขาย แต่อัพไซด์ที่จำกัดดูเหมือนจะเป็นสิ่งนักวิเคราะห์คิดเหมือนกัน
บล. |
คำแนะนำ |
ราคาเหมาะสม(บ.) |
ทิสโก้ |
ซื้อ |
64 |
ดีบีเอส วิคเคอร์ส |
ถือ |
56 |
โนมูระ พัฒนสิน |
เก็งกำไร |
59.50 |
กรุงศรี |
ซื้อ |
70 |
ยูโอบี เคย์เฮียน |
ขาย |
50 |
ชัดเจนอยู่แล้วว่าการฟื้นตัวของ AOT จะต้องพึ่งพาการเปิดประเทศเท่านั้น และภาพการช่วยเหลือคู่ค้าเช่นนี้ก็น่าจะได้เห็นไปตลอดจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายนั่นเอง หากนักลงทุนรู้ความเสี่ยงในตรงนี้แล้ว และยังอยากจะเข้าลงทุนเพื่อรอลุ้นให้ธุรกิจฟื้นในปี 65 ก็อาจจะไม่เหมาะอยู่ดี เพราะราคาหุ้นในขณะนี้ถือว่าสูงมากกับหุ้นที่สถานการณ์ธุรกิจแทบจะมืดแปดด้านเช่นนี้ การรอให้โควิด-19 และข่าวร้ายการท่องเที่ยวสะเด็ดน้ำก่อน คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า!
0 Response to "AOT ขยายเวลาช่วยคู่ค้า ดูไม่เข้าท่า แต่ไม่มีทางเลือก! - efinanceThai"
Post a Comment